ย้อนรอย 25 ปี ต้มยำกุ้งสู่ IMF !
เชื่อว่าหลายคนที่เป็นคอซีรีส์เกาหลี อาจกำลังอินกับเรื่อง “Twenty five ,ย้อนรอยปีต้มยำกุ้งสู่แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของ CWG เป็นทางการหรือไม่ Twenty One” วันนี้ WikiBit จะพาทุกท่านย้อนวันวานไปกับเหตุการณ์ที่เป็น ตัวดำเนินเรื่องในปี 1998 กับวิกฤติ IMF ( IMF Crisis) หรือถ้าเรียกใกล้ๆตัวคือ วิกฤติต้มยำกุ้ง ที่กูรูด้านการเงินไทย กลัวเหลือเกินว่า คริปโตจะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกครั้ง . เราจึงขอพาทุกท่านย้อนเรื่องราวผ่านมุมมองของซีรีส์ เรื่อง “Twenty five , Twenty One” ที่ได้เล่าเรื่องราวชีวิตของวัยรุ่นในช่วงเวลา IMF ที่ได้พรากความฝันไปจากใครหลายคน ผ่านตัวละครหลัก คือ นาฮีโด (รับบทโดย คิมแทรี) นักเรียนมัธยม วัย 18 ปี ที่ชมรมฟันดาบในโรงเรียนถูกยุบ ทำให้ความฝันในการเป็นนักกีฬาฟันดาบกำลังจะสลายไป และแพคอีจิน (รับบทโดยนัมจูฮยอก) วัย 22 ปี อดีตนักศึกษาวิศวกรรม ที่เคยมีฐานะดีแต่เพราะวิกฤตค่าเงินทำให้ครอบครัวล้มละลาย ต้องกระจัดกระจายไปคนละทาง ความฝันในการเรียนสลายหายไป . เมื่อได้รู้จักกับนาฮีโด “เธอ และเขาต่างป็นแรงบันดาลใจให้กัน” และอะไรคือเรื่องราวที่ทำให้ ที่ทำให้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของตัวละครเหล่านี้ ซึ่งอาจเป็นภาพสะท้อนเรื่องจริงของหลายๆ คน . “ สู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับใช่ไหม ? ” “ ยุคสมัยบีบให้เราทิ้งทุกอย่าง เราจะยอมทิ้งความสุขไปอีกได้ยังไง! ” . คำเหล่านี้ผิวเผิน เป็นคำพูดที่บรรยายสถานการณ์ในซีรีส์ได้ดี แต่คำเหล่านี้ กลับนำมาใช้ได้ กับชีวิตจริงในสถานการณ์ปัจจุบัน ในช่วงชีวิตที่ประสบพบเจอปัญหากับเหตุการณ์โรคระบาด Covid-19 ที่ลุกลามส่งผลกระทบต่อด้านเศรษฐกิจ เรื่องราวการเกิดวิกฤติในครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อชีวิตของตัวละคร ซึ่งเป็นภาพสะท้อนเรื่องจริงของหลายๆ คนในยุค IMF หากเปรียบเทียบง่ายๆ นางเอก นาฮีโด โดนพรากความฝัน ส่วนพระเอก แพคอีจิน โดนพลาก สถานะทางการเงิน และครอบครัว ถ้าจะเปรียบเทียบกับประโยคที่เห็นได้ชัดที่สุดคงหนีไม่พ้น ประโยคที่พระเอก แพคอีจิน ได้พูดไว้ดังนี้ . “ยุคสมัยน่ะ พรากความฝันไปจากเธอได้ง่ายๆ เลย ไม่ใช่แค่ความฝัน แต่มันพรากเงินทองไปได้ด้วย และพรากครอบครัวไปได้เหมือนกัน หรือมันอาจจะพรากทั้งสามอย่างไปพร้อมกันก็ได้แววตาเศร้าและขอบตาแดงๆ ของเขาอาจเผยความรู้สึกได้ชัดกว่าถ้อยคำ” . ย้อนกลับมาที่การเกิด ‘วิกฤติไอเอ็มเอฟ’ (IMF Crisis) คือวิกฤติที่คนไทยเราคุ้นเคยในชื่อ ‘วิกฤติต้มยำกุ้ง’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการณ์ว่า ‘วิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย’ ที่ผ่านมาราว 25 ปี ภาพความจำเลือนรางสำหรับบางคน แต่ชัดเจนสำหรับหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติครั้งนั้น . ‘IMF’ หรือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Broker Detectorry Fund) เกิดขึ้นช่วงปี 1997-1998 หรือ พ.ศ. 2540-2541 ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในประเทศไทย แล้วลามไปอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ เป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งชาวเกาหลีใต้เรียกมันว่า ‘วิกฤติไอเอ็มเอฟ’ . จุดเริ่มต้นขึ้นในประเทศไทย ในวันที่ 2 กรกฎาคม 1997 ที่กระทรวงการคลัง ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศยกเลิกอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ แล้วปล่อยลอยตัวค่าเงินบาท หลังจากรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1997 ค่าเงินบาทตกต่ำมาก จากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยสถติต่ำสุดอยู่ที่ 56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจว่ากว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องใหญ่มันไม่ได้เกิดจากปัจจัยเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่งแต่มันคือการรวมตัวกันของความผิดพลาดหลายๆ อย่างที่ดำเนินไปโดยไม่มีการแก้ไข นานวันเข้ามันก็กลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รอวันระเบิดเท่านั้นเอง . แต่นักวิเคราะห์ได้กล่าวไว้ว่ามี 6 สาเหตุหลัก ได้แก่ ประเทศไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ค.ศ. 1987-1996 (พ.ศ.2530-2539) ไทยมีหนี้ต่างประเทศมาก สถาบันการเงินของไทยก็กู้เงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศจำนวนมาก ในช่วงปลายปี 1997 หนี้ต่างประเทศของไทยสูงถึง 109,276 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัญหาของการมีหนี้ต่างประเทศมากก็คือ ต้องรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน การลงทุนเกินตัว และเกิดฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งนำไปสู่การที่ฟองสบู่แตก ประเทศไทยยุคนั้นคนมีเงินเยอะขึ้น แต่เป็นการรวยไม่จริง รวยจากการกู้ยืมชาวบ้านมาแทบทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งที่ทิ้งไว้เป็นอนุสาวรีย์ของเหตุการณ์นี้คืออาคารสาธร ยูนีค ที่เราคุ้นตากันอย่างดี การขาดความเชื่อมั่นในสถาบันการเงิน เนื่องจากความด้อยประสิทธิภาพใน รัฐบาลต้องสั่งปิดสถาบันการเงินไปมากกว่า 58 แห่ง ความไม่มีประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบาย การที่รัฐบาลอนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนอย่างเสรีโดยไม่มีการเตรียมความพร้อมหรือกำกับดูแล มีการโจมตีค่าเงินบาท โดยนักลงทุนต่างชาติ และกองทุนที่ระดมทุนมาเก็งกำไรค่าเงินบาท ไทยต้องใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปมากจนเหลือเพียง 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากก่อนวันที่ 8 พฤษภาคม 1997 ไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 24,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ . อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เกิดวิกฤติตามไทยมา เพราะมีความเสี่ยงจากปัญหาที่คล้ายๆ กัน เมื่อนักลงทุนเริ่มถอนตัวออกไปและสร้างผล กระทบต่อเศรษฐกิจ ประเทศที่เผชิญวิกฤติต้องขอความช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟ . ตามมาด้วยเกาหลีใต้ เป็นลำดับสุดท้ายที่เผชิญวิกฤตการณ์ทางการเงิน เกิดขึ้นกับเกาหลีใต้ในเดือนตุลาคม 1997 สิ่งที่เกิดขึ้นกับเกาหลีใต้ก็เหมือนกันกับที่เกิดในประเทศก่อนหน้าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของเกาหลีใต้เกือบหมด และ S&P Global Ratings ลดระดับความน่าเชื่อถือของเกาหลีใต้ลงทำให้เงินทุนต่างประเทศไหลออกจากตลาดหลักทรัพย์ โดยที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีไม่อาจยับยั้งได้ เกาหลีใต้วิเคราะห์สาเหตุของวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ว่ามาจาก 2 ปัจจัย เกิดจากโครงสร้างหนี้ ที่มีหนี้ต่างประเทศระยะสั้นมากเกินไป และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไม่เพียงพอ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คล้ายกันกับไทย คือหนี้ต่างประเทศระยะสั้นของสถาบันการเงินเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดปัญหาโ ครงสร้างทางการเงินของบริษัทเอกชน โดยเฉพาะระดับ ‘แชโบล’ (กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่) ที่ลงทุนขยายกิจการอย่างรวดเร็วและไม่หยุดยั้ง โดยเลือกนโยบายการเงินที่เป็น ‘การเติบโตทางการเงินที่ติดลบ’ ทำให้อัตราส่วนหนี้ต่อทุนเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 400 ในปลายปี 1997 และบริษัทในกลุ่มแชโบล 30 แห่ง มีหนี้ต่อทุนเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 518 ซึ่งมากกว่าของภาคเอกชน ในไทยถึง 3 เท่า ดังนั้น เกาหลีใต้จึงถือว่ากลุ่มแชโบลเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ . เมื่อเจอวิกฤติ เกาหลีใต้ก็ทำคล้ายกับประเทศที่เจอวิกฤติก่อน คือ ขอความช่วยเหลือทางการเงินจากไอเอ็มเอฟ ซึ่งไอเอ็มเอฟได้ตั้งเงื่อนไขให้รัฐบาลเกาหลีใต้ปฏิรูประบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อแลกกับการให้ความช่วยเหลือ . วิกฤติของเกาหลีใต้เกิดขึ้นทีหลังประเทศอื่น แต่การคลี่คลายไม่ได้เป็นไปตามลำดับการเผชิญวิกฤติ รัฐบาลใหม่ของเกาหลีใต้ที่มาจากการเลือกตั้งและเข้ารับตำแหน่งในต้นปี 1998 แก้ปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เร็วกว่าที่คาด สิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้ฟื้นตัวก็คือการที่รัฐบา เกาหลีใต้ชำระหนี้เงินกู้คืนแก่ IMF จำนวน 3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนธันวาคม 1998 กับมกราคม 1999 . ในภาพรวม ผลกระทบที่เกิดขึ้นในวิกฤติคือ ปัญหาเงินเฟ้อ ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น หนี้สาธารณะพุ่งสูง ราชการต้องรัดเข็มขัด ต้องตัดงบประมาณบางส่วนไม่จำเป็นฝั่งหนี้เอกชนสูงท่วมเกินทุนและทรัพย์สินเอกชนตัดเงินค่าจ้างพนักงาน-ลูกจ้างและลดการจ้างงาน มีคนตกงานจำนวนมาก . ธุรกิจที่พยุงตัวเองไม่ไหวต้องล้มละลาย สถาบันการเงินมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) สูง นำมาซึ่งความเสียหายแก่สถาบันการเงิน และมันสั่นคลอนเสถียรภาพทางการเมือง ทำให้มีการเปลี่ยนรัฐบาลที่บริหารประเทศด้วย . ส่วนปัญหาทางด้านสังคมวิกฤตินี้ส่งผลกระทบอย่างหนักโดยตรงกับเจ้าของธุรกิจขณะที่แรงงานที่ถูกเลิกจ้าง แม้ไม่ต้องแบกหนี้หนักหนาสาหัส แต่การไม่มีงาน-ไม่มีรายได้ . ขณะที่คนที่กำลังเติบโตเข้าสู่วัยทำงานก็ต้องเคว้งหางานทำไม่ได้ มีข้อมูลว่าในประเทศไทยมีคนว่างงานกว่า 2 ล้านคน อัตราการว่างงานที่สูงขึ้น และรายได้ต่อครัวเรือนที่ต่ำลงยิ่งทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบาก ว่างงานมีหนี้สินเพิ่มขึ้น บางคนสูญเสียบ้าน สูญเสียรถ และบางคนสูญเสียชีวิตอัตราการฆ่าตัวตายสูงขึ้น เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหนี้สิน . เรื่องราวในอดีตมักถูกจดจำให้เป็นบทเรียนในอนาคตอีกครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ Covid-19 ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมีหลายประเทศทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ บางคนสูญเสียโอกาสด้านการเรียน ป่วยไปจนถึงขั้นเสียชีวิต.ถึงแม้จะต่างยุคต่างสมัย แต่สิ่งที่อาจจะเรียกว่าคล้ายกัน ในยุคสมัยวิกฤตการณ์การเงินในเอเชียพรากและโควิด-19 ได้พรากความฝัน พรากอนาคตของผู้คนไปมากกว่าหลายเท่า ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
คำแนะนำที่เกี่ยวข้อง
-
Jurrien Timmer คาดราคา Bitcoin กับ ETH เริ่มเข้าสู่จุดต่ำสุดแล้ว !
-
Vitalik อ้างว่าทีม Terra มีความพยายามควบคุมมูลค่าโทเค็นของตัวเอง
-
Google ประกาศเปิดตัวแชตบอต Bard มาสู้กับ ChatGPT
-
เหตุผลที่ MicroStrategy ขาย Bitcoin ในวันที่ 22 ธันวาคม
-
NFT เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว! หลังยอดขายรายสัปดาห์กลับมาเป็นบวกอีกครั้ง
-
ก.ล.ต. เปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงแนวทางการกำกับดูแลผู้ให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล
- เผยแพร่เมื่อเร็ว ๆ นี้
-
- ราคา MASK ใกล้โซนอุปสงค์ที่ $3: ขยายออกไปข้างหน้าหรือไม่
- Binance เข้าซื้อกิจการเว็บเทรดญี่ปุ่น SAKURA Exchange BitCoin
- Dogecoin ร่วง ! หลังผลโพลชี้ Elon Musk ควรลาออกจาก CEO ของ Twitter
- GALA บนเชน BSC โดนแฮคทำให้ราคาดิ่งลงกว่า 15% ในเช้านี้ !
- การคาดการณ์ราคา Aptos – ราคา APT คาดว่าจะถึง 12.73 ดอลลาร์ภายในวันที่ 20 เมษายน 2024
- BlockFi เตรียมยื่นทรัพย์สินและหนี้สินในคดีล้มละลาย วันที่ 11 มกราคมนี้
- Genesis แพลตฟอร์มให้กู้ยืมคริปโต ประกาศยื่นล้มละลายแล้ว !!!
- ก.ล.ต. ประกาศ ! แจ้งข้อสังเกตเกี่ยวกับข้อตกลงส่วนบุคคลภายใต้โครงการ ZipUp+
- แจกหนังสือ The Bitcoin Standard หนังสือดีๆที่มือใหม่ควรมีติดไม้ติดมือ
- Toyota ร่วมมือ Astar สนับสนุนงาน Web3 hackathon เพื่อพัฒนาระบบ DAO
- การอ่านแบบสุ่ม
-
- Ronin โดนแฮก 2 หมื่นล้านบาท !
- รายงานที่ว่า Do Kwon หลบหนีไปดูไบนั้น ยังไม่อาจพิสูจน์ได้ อัยการเกาหลีใต้กล่าว
- Google ประกาศเปิดตัวแชตบอต Bard มาสู้กับ ChatGPT
- Binance เข้าซื้อกิจการเว็บเทรดญี่ปุ่น SAKURA Exchange BitCoin
- Chain Conference Istanbul 2024: การรวมชุมชน Crypto ทั่วโลกเข้าด้วยกัน
- CEO ของ Binance เปิดเผยแผนการที่จะใช้ Proof
- ราคา Bitcoin ทะลุ $20,000 แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์
- ญี่ปุ่นเตรียมยกเลิกการแบน Stablecoin จากต่างประเทศในปี 2023
- Voyager Digital กู้คืนเงินกว่า 480 ล้านดอลลาร์จากการชำระหนี้ FTX และ 3AC
- Genesis แพลตฟอร์มให้กู้ยืมคริปโต ประกาศยื่นล้มละลายแล้ว !!!
- BlockFi ยื่นล้มละลาย ! หลังการล่มสลายของ FTX
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เร่งนำระบบ Blockchain ใช้แจ้งเบาะแสยาเสพติด แบบไม่ระบุตัวตน
- $ADA เหรียญเจ้าโปรเจค คัมแบค หลังพิสูนจ์ตัวเองกลับมายืนเขียวปิดแท่งในรอบสัปดาห์ได้
- นักพัฒนา Ethereum เปิดให้ทดสอบการถอน บน Devnet แล้ว
- Vitalik อ้างว่าทีม Terra มีความพยายามควบคุมมูลค่าโทเค็นของตัวเอง
- BlockFi ระงับถอนเงินบน FTX จนกว่าจะมีความชัดเจน
- Bitcoin 101 Guide Book ฝีมือคนไทย
- ก.ล.ต. เผย ChomCHOB ยังไม่ได้เป็นผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาต
- ญี่ปุ่น เริ่มผ่อนปรนกฎ Crypto อนุญาตให้เว็บเทรดลิสต์โทเค็นได้โดยไม่ต้องผ่าน JVCEA เริ่มเดือนธันวาคม
- แฮ็กเกอร์ FTX โอน BTC ไปยัง OKX หลังจากปกปิดธุรกรรม
- ค้นหา
-
- ลิงค์ที่เป็นมิตร