ที่ตั้งปัจจุบัน:หน้าแรก > {คอลัมน์ปัจจุบัน}

เฟด“ขึ้น” ดอกเบี้ย 0.50% ตามคาดและพร้อมเริ่มลดงบดุลในเดือนมิถุนายน

Fed Funds Target Range

Actual: 0.75-1.00% Previous: 0.25-0.50%

เฟด“ขึ้น” ดอกเบี้ย 0.50% ตามคาดและพร้อมเริ่มลดงบดุลในเดือนมิถุนายน

KTBGM: 0.75-1.00% Consensus: 0.75-1.00%

  • คณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) มีมติให้ “ปรับขึ้น” อัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 0.75-1.00% ตามคาด พร้อมทั้งส่งสัญญาณทยอยขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% ในการประชุมครั้งถัดๆ ไป เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง แม้ว่าเศรษฐกิจอาจชะลอลงมาบ้างในช่วงไตรมาสแรก แต่โดยรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่
  • ทั้งนี้ในส่วนการปรับลดงบดุลจะเริ่มดำเนินการในเดือนมิถุนายน ด้วยอัตราการลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาล 3 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน และลดการถือครองตราสาร MBS 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน ก่อนที่จะเพิ่มอัตราการลดงบดุลเป็น 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับพันธบัตรรัฐบาลและตราสาร MBS ตามลำดับในเดือนกันยายน
  • เราปรับมุมมองว่า เฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยได้ 0.50% ในการประชุม 2 ครั้งถัดไป ทำให้ Terminal Rate จะขยับขึ้นมาสู่ระดับ 3.00-3.25% ในรอบการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้
  • แม้ตลาดได้รับรู้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมาพอสมควรแล้ว แต่เรามองว่า ความเสี่ยงสงครามรัสเซีย-ยูเครน และปัญหาการระบาดของโอมิครอนในจีน ก็เป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะอาจส่งผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของเฟดได้
  • Next FOMC Decision: June 16 2022 (1 AM BKK)

คณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) มีมติให้ “ปรับขึ้น” อัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 0.75-1.00%

  • FOMC มองกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงในไตรมาสแรกของปีนี้ แต่โดยรวมการใช้จ่ายของผู้บริโภค การลงทุนภาคเอกชนและภาวะตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดีเงินเฟ้อยังคงเร่งตัวสูงขึ้น จากปัญหาด้าน Supply Chain และการปรับตัวขึ้นเป็นวงกว้างของราคาสินค้า นอกจากนี้ ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้สร้างความไม่แน่นอนสูงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยังสามารถสร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและอาจกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น ดังนั้น เฟดจึงมีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้เฟดสามารถบรรลุเป้าหมายของเฟดทั้งในด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อ ซึ่งเฟดมองว่าอัตราเงินเฟ้อจะสามารถกลับสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% และตลาดแรงงานจะยังคงแข็งแกร่ง

  • นอกจากนี้ FOMC ยังได้เปิดเผยแผนการปรับลดงบดุล ทั้งในส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงตราสาร MBS โดยเฟดจะเริ่มลดงบดุลในเดือนมิถุนายน ซึ่งจะเป็นการทยอยลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลและตราสาร MBS ในอัตราเดือนละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน และ 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน ตามลำดับ เป็นเวลา 3 เดือน ก่อนที่จะเพิ่มอัตราการลดงบดุลเป็น 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือนกันยายน

  • ในส่วนถ้อยแถลงของประธานเฟดช่วง Press Conference นั้น ประธานเฟด ได้ระบุว่า เฟดยังมีแนวโน้มทยอยขึ้นดอกเบี้ยอีกราว 0.50% ในการประชุมครั้งถัดๆ ไป เพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ ทว่า เฟดยังไม่ได้พิจารณาเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงถึง 0.75% อย่างที่ตลาดกังวล อนึ่ง ประธานเฟดยังได้ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอลงในลักษณะ Soft Landing เนื่องจากสถานะทางการเงินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจยังคงแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับภาวะตลาดแรงงาน

เราปรับมุมมองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้ 0.50% ได้ในการประชุม 2 ครั้งถัดไป ก่อนที่จะทยอยขึ้นครั้งละ 0.25% จนแตะระดับ Terminal Rate ที่ 3.00-3.25%

  • ผลการประชุมเฟดล่าสุดและถ้อยแถลงของประธานเฟด ได้เน้นย้ำว่า เฟดจริงจังในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อซึ่งเรามองว่า หากไม่ได้มีปัจจัยเสี่ยงที่จะผลักดันให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นมากกว่าคาด เฟดก็อาจทยอยขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมอีก 2 ครั้งถัดไป ก่อนที่จะทยอยขึ้นเพียง 0.25% จนอัตราดอกเบี้ยนโยบายเฟดแตะระดับ 3.00-3.25% เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวชัดเจนมากขึ้นหลังการเร่งขึ้นดอกเบี้ยพร้อมการลดงบดุล อีกทั้งในช่วงปลายปี การเลือกตั้งกลางเทอมที่พรรคเดโมแครต อาจเสียเสียงข้างมากในสภาคองเกรส และทำให้การผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งจะยิ่งกดดันแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจและทำให้เฟดไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยไปได้มากอย่างที่ตลาดกังวล

  • อย่างไรก็ตาม เฟดอาจปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินได้จากปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ อาทิ ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ ปัญหาการระบาดของโอมิครอนในจีน โดยเฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคาด หากมีการคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย จนทำให้ราคาสินค้าพลังงานต่างพุ่งสูงขึ้น อาทิ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นได้มากกว่าคาด ขณะที่ ปัญหาการระบาดของโอมิครอนในจีน อาจเป็นตัวแปรที่ทำให้เฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ยได้ หากเศรษฐกิจจีนซบเซาหนัก หรือ เกิดภาพ Hard Landing แบบในช่วงปี 2015-2016 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว เฟดก็มีการปรับท่าทีการขึ้นดอกเบี้ยและชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจจีนซบเซาหนัก

  • ทั้งนี้ เรามองว่า โอกาสที่จะเกิดการคว่ำบาตรพลังงานจากรัสเซีย จนราคาสินค้าพลังงานพุ่งขึ้นแรง หรือ เศรษฐกิจจีนซบเซาหนัก มีอยู่ไม่มาก เพราะ นักการเมืองยุโรปก็ไม่อยากเสี่ยงที่จะสูญเสียคะแนนความนิยม หากตัดสินใจคว่ำบาตรพลังงานจากรัสเซียจนส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของคนยุโรปอย่างรุนแรง ส่วนในฝั่งจีน เราเห็นสัญญาณการพร้อมสนับสนุนเศรษฐกิจจากทั้งรัฐบาลและธนาคารกลางจีนมากขึ้น และการปรับกลยุทธ์รับมือการระบาดที่เริ่มมีการใช้ยา Paxlovid ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถทยอยฟื้นตัวดีขึ้นและหลีกเลี่ยงโอกาสเกิด Hard Landing ได้ ดังนั้นจึงอาจมองได้ว่า แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก็น่าจะเป็นสิ่งที่ตลาดได้รับรู้ไปในราคาสินทรัพย์ หรือ priced-in ไปมากแล้ว โดยเฉพาะในฝั่งบอนด์ เรามองว่า จุดสูงสุดของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะอยู่ในไตรมาสที่ 2 ใกล้ระดับ 3.00% ซึ่งหากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มทยอยย่อตัวลงมาได้บ้าง เช่นเดียวกับเงินดอลลาร์ ถ้าตลาดไม่ได้เผชิญปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม เรามองว่า เงินดอลลาร์เริ่มมี upsides ที่จำกัด และคาดว่า เงินดอลลาร์จะค่อยๆ อ่อนค่าลงในช่วงที่เหลือของปีนี้

  • แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่ได้ถูกรับรู้ไปมากแล้วนั้น อาจส่งผลให้ Swap point หรือ Forward point ระยะยาว อาจใกล้ถึงจุดต่ำสุดและอาจพลิกปรับตัวขึ้นได้ โดยเรามองว่า ควรจับตาแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งหากมีการส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจชี้ว่า จุดต่ำสุดของ Swap/Forward point 1 ปี ได้ผ่านไปแล้วได้เช่นกัน

Fed BS outlookFed BS outlook

Swap point and rate differentialsSwap point and rate differentials

คำสั่ง: เนื้อหาของบทความนี้ไม่ได้แสดงถึงมุมมองของเว็บไซต์ FTI เนื้อหามีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง เลือกอย่างระมัดระวัง! หากมีปัญหาใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ลิขสิทธิ์ ฯลฯ โปรดติดต่อเราและเราจะทำการปรับเปลี่ยนโดยเร็วที่สุด!

แบ่งปัน: