ที่ตั้งปัจจุบัน:หน้าแรก > {คอลัมน์ปัจจุบัน}

การปรับฐานระยะสั้นของ SET น่าจะใกล้จบ

ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้ ดูเหมือนไม่มีเรื่องใหม่ๆ ที่มีน้ำหนักเข้ามาเพิ่มเติม โดยประเด็นในต่างประเทศเป็นความกังวลเรื่อง Recession ซึ่งล่าสุดภาวะ Inverted Yield Curve ของสหรัฐฯที่ดำเนินมาตั้งแต่เดือน ก.ค.65 ขยายกว้างขึ้น ไปเป็น -68 bp ซึ่งเป็นจุดที่กว้างที่สุดของรอบนี้ เชื่อว่ากรณีดังกล่าวพร้อมจะ กลับมาสร้างแรงกดดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐ แต่ในมุมของตลาดหุ้นบ้านเราอาจมองใน ด้านของโอกาสที่จะเห็น Fund Flow ไหลกลับเข้ามา ส่วนอีกเรื่องหนึ่งมีน้ำหนัก ทางบวกคือความคาดหวังว่า จีนจะผ่อนคลายการบังคับตามมาตรการ Zero Covid ทั้งนี้ประเมินจากท่าทีของทางการที่ล่าสุดลดระดับความเข้มงวดในการ บังคับตรวจเชื้อในบางเมื่อง ขณะที่ผู้นำประเทศก็มีการเดินทางออกไปปฎิบัติ ภาระกิจในต่างประเทศมากขึ้น ส่วนกระแสเรื่องฟุตบอลโลกถือเป็นสีสันทางบวก

Index ปรับฐานมาตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งเราประเมินว่าช่วงเวลาในการปรับ ฐานน่าจะใกล้จบลง ส่วนวันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวช่วง 1610 – 1631 จุด หุ้นที่เลือกเป็น Top Pick ได้แก่ BEC,การปรับฐานระยะสั้นของSETน่าจะใกล้จบกลโกงการซื้อขายระยะสั้นพิเศษของช่วงเวลาของเพื่อน CENTEL และ CRC

การปรับฐานระยะสั้นของ SET น่าจะใกล้จบ

ความกังวล ขึ้นดอกเบี้ย+RECESSION ในสหรัฐฯ กดดันสินทรัพย์เสี่ยง

สหรัฐฯ รายงานตัวเลขผู้ขอสวัสดิการผู้ว่างงาน หรือ Initial Jobless Claims ออกมาเพียง 222,000 คน ซึ่งต่ำกว่าที่คาด และงวดก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 225,000 คน และ 226,000 คน ตามลำดับ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดแรงงานและตลาดหุ้นในระยะถัดไป แต่ใน อีกมุมหน่งก็สร้างความกังวลว่า Fed อาจจะยังคงใช้นโยบายปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุก

ในมุมมองของฝ่ายวิจัย เห็นว่าประเด็นหลักจะสร้างความกังวลจากนี้ไป น้ำหนักน่าจะอยู่ที่ ความเสี่ยงที่ เศรษฐกิจหลายประเทศจะเดินหน้าเข้าสู่ภาวะ Recession โดยในส่วนของ สหรัฐฯ พบว่า Spread Bond Yield 2 ปี ลบด้วย 10 ปี ห่างกันถึง -0.68%(เกิด Inverted Yield Curve) ซึ่งเป็นระดับที่ลึกสุดในรอบนี้ บวกกับ อีกทั้งยังปรากฎผลต่อเนื่อง มายัง ราคาน้ำมัน WTI วานนี้ที่ปรับตัวลงแรงกว่า 4% ล่าสุดอยู่ที่ 82.06 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่ง เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าโอกาสเกิด Recession ในสหรัฐมีมากขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่ประเด็นการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ FED กลับมากดดันตลาดหุ้นอีกครั้ง หลังเจมส์ บูล ลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์และนางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้ กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯในขณะนี้ยังไม่ได้อยู่ในกรอบที่ถือว่ามีการ คุมเข้มมากเพียงพอ และ FED อาจจะต้องทำให้เศรษฐกิจหดตัวลงเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อ ชะลอลง ซึ่งประเด็นดังกล่าวหนุนให้ โอกาสการขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกในอนาคตกลับมาอีกครั้ง โดย FED Watch Tool ล่าสุดบ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยปีหน้าของสหรัฐฯอยู่ในช่วง 5.00%- 5.25% ซึ่ง 2 วันที่ผ่านมากรอบดอกเบี้ยปีหน้าอยู่เพียง 4.75%-5.00% เท่านั้น

สรุป ความกังวลหลักของตลาดหุ้น คือ สถานการณ์ที่เศรษฐกิจของหลายประเทศกำลัง เดินเข้าสู่ภาวะ Recession ซึ่งถูกสะท้อนออกมาชัดเจนผ่าน Inverted Yield Curve คาดเห็นเม็ดเงินโยกย้ายกลับไปสินทรัพย์ปลอดภัย หรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ซึ่งตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซีย ก็น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง

มาตการคุมเข้มโควิดจีนเริ่มผ่อนคลาย คาดหวังกลับมาเปิดเประเทศอีกครั้ง

นับตั้งแต่ช่วงปลายสับดาห์ที่ผ่านมา ทางการจีนเริ่มผ่อนคลายมาตราการ Zero-Covid อาทิ ยกเลิกคำสั่งห้ามเที่ยวบินโดยสารที่มีการนำผู้โดยสารที่ติดเชื้อโควิด-19 เข้าประเทศ จีน, ลดจำนวนวันกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศจีน, ลดระยะเวลาตรวจหาเชื้อ PCR มาตการ ดังกล่าวส่งผลให้ยอดพุ่งจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 ในประเทศจีนที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 15,879 ราย/วัน ทำสถิติใหม่ในรอบ 8 เดือน และยอดผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 39,974 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 16 พ.ย. 65) แต่เมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากร 1.4 พันล้านคนถือว่ามี สัดส่วนที่น้อยมากเพียง 0.003% เท่านั้น และยังมีระดับประชากรที่รับวัคซีนไปแล้วสูงถึง 91%

อย่างไรก็ตามแม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ความคาดหวังที่จีนกำลังจะ เปิดประเทศกลับมาอีกครั้ง หลังรัฐบาลจีนยังคงเดินหน้าผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มใน หลายพื้นที่มากขึ้น อาทิ เมืองเซี่ยงไฮ้ ได้ยกเลิกการปูพรหมตรวจโควิด-19 แบบเชิงรุก บวก กับผู้นำจีน (ปธน.สี จินผิง) ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวโควิด-19 ดังเช่นในอดีต มีการเดินทางออก นอกประเทศ (โดยไม่สวมหน้ากาก) เพื่อประชุมในเวทีต่างๆ พร้อมกระชับสัมพันธ์หระ หว่างประเทศ

การผ่อนคลายมาตรการดังกล่าว ทำให้ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้นราว 16.8%mtd ขณะที่ฝ่ายวิจัยประเมินว่าดัชนี HSI ที่กลับตัวขึ้นมาแรง จะส่งผล ต่อหุ้นไทยที่มีการเคลื่อนไหวในเชิงบวกตามดัชนี้ HSI เช่นกัน และยังเพิ่มความคาดหวังเชิง บวกต่อภาคการค้า การลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยวของไทยให้กลับมาฟื้นตัวต่อได้ ส่วนหุ้น ไทยที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ อาทิ CENTEL, AOT (BK:), HANA, BEC, KCE,TKN, SCC

สรุป ประเทศจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายมาตรการ Zero-Covid ต่อเนื่อง บวกกับผู้นำจีน มีความกลัวต่อโควิด-19 ลดลง ยิ่งเป็นการกระตุ้นความคาดหวังการกลับมาเปิด ประเทศอีกครั้ง ขณะที่ไทยคาดว่าจะได้รับอานิสงค์บวกต่อภาคการค้า การลงทุน การ ท่องเที่ยวของไทย รวมถึงหุ้นไทยที่มีการเคลื่อนไหวในเชิงบวกตามหุ้นจีน

FIFA WORLD CUP PLAY ชอบ BEC CRC CENTEL

วานนี้ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ได้ยืนยันกับสื่อมวลชนว่า ได้ปิดดีลการซื้อ ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 กับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) จำนวน 64 แมตช์ เรียบร้อยแล้ว ในมูลค่า 33 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,400 ล้านบาท ซึ่งเม็ด เงินดังกล่าวมาจาก กสทช. 600 ล้านบาท และ ผู้สนับสนุนจากภาคเอกชนทั้งหมด 3 บริษัท ได้แก่TRUE, THAIBEV, PTT (BK:) ในส่วนที่เหลือ

ก่อนหน้านี้ หอการค้าไทยคาดว่าบอลโลก 2022 จะมีเงินหมุนเวียนในระบบสูงถึง 7.58 หมื่นล้านบาท (มีสัดส่วนราว 0.5% ของ GDP) ขณะที่ฝ่ายวิจัยฯ ทำการศึกษาสถิติในอดีต ช่วงที่มีการจัดงานฟุตบอลโลกและฟุตบอลยูโร ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา พบว่า ตลาดหุ้นไทย มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ เฉลี่ย 4.2% (มีเพียงปี 2018 ที่ผลตอบแทนติดลบ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากประเด็น Trade War)

อีกทั้งการจัดฟุตบอลโลกปีนี้มีความได้เปรียบ เนื่องจากปกติจัดในช่วงเดือน มิ.ย. - ก.ค. แต่ปี 2022 จัดในเดือน พ.ย. - ธ.ค. ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยพอดี ยิ่งเป็นแรง หนุนหุ้นในกลุ่ม Domestic Consumption ให้มีความน่าสนใจในการเก็งกำไรมากขึ้น แนะนำสะสมหุ้นได้รับกระแสบอลโลก พร้อมกับกำไรงวด 4Q22 เด่นขึ้น อย่าง กลุ่มค้า ปลีก (BJC, CPALL (BK:), MAKRO, HMPRO, CRC), กลุ่มอาหาร (MINT, CENTEL), กลุ่ม สื่อโฆษณา (BEC, ONEE, RS)

ภาพรวม FUND FLOW ชะลอ แต่เห็นการทยอยเก็บสะสมบางหุ้น

ในสัปดาห์นี้ต่างชาติเริ่มสลับมาขายสุทธิหุ้นไทย 4 วันทำการ มูลค่า 7.5 พันล้านบาท กดดัน SET ย่อตัวลง -1.4% หลังจากที่ได้ซื้อสุทธิติดต่อกัน 16 วันทำการ 4.1 หมื่นล้าน บาท และ SET +3.1%

แรงกดดันให้ภาพรวม Fund Flow ชะลอไหลเข้าหุ้นไทย ส่วนหนึ่งเกิดจากราคาน้ำมันดิบ โลกที่ปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง และวานนี้ยังลงมาอีก -4.1% อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือนครึ่ง ซึ่งตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนหุ้น Commodity กว่า 1 ใน 3 ของ Market Cap. รวม ขณะเดียวกันยังมีกระแสหุ้น MORE ที่กดดันหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นขนาดเล็กอยู่ในช่วงนี้

อย่างไรก็ตามหากพิจารณาแรงซื้อขายหุ้นจากต่างชาติในสัปดาห์นี้ลงไปเป็นรายหุ้น ฝ่าย วิจัยพบว่า มีกลุ่มหุ้นที่ต่างชาติพลิกกับมาขายสุทธิคือ กลุ่มน้ำมัน และ ธ.พ. อาทิ PTTEP KBANK (BK:), PTT, BH, TISCO ฯลฯ แต่ยังมีกลุ่มที่ต่างชาติทยอยสะสมกลุ่มหุ้นลงมาลึก ชิ้นส่วน และ กลุ่ม Domestic Consumption อย่าง กลุ่มอาหาร, ค้าปลีก, อสังหาฯ, ลิซ ซิ่ง, โรงไฟฟ้า อาทิ KCE, MINT, CBG, CPALL, SPALI, TIDLOR, GULF ฯลฯ

ดังนั้นในสภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน และ Fund Flow ที่ชะลอในช่วงสั้น ประเมินดัชนี เคลื่อนไหวในกรอบจำกัด 1610 – 1631 จุด กลยุทธ์แนะนำเลือกหุ้นในกลุ่มที่ต่างชาติ ยังทยอยสะสม และมีปัจจัยหรือธีมบวกเฉพาะตัวหนุน อย่าง ธีมบอลโลก แนะนำ CRC, BEC และธีมจีนผ่อนคลายเปิดประเทศ แนะนำ CENTEL เป็น Top pick ในวันนี้

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

คำสั่ง: เนื้อหาของบทความนี้ไม่ได้แสดงถึงมุมมองของเว็บไซต์ FTI เนื้อหามีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง เลือกอย่างระมัดระวัง! หากมีปัญหาใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ลิขสิทธิ์ ฯลฯ โปรดติดต่อเราและเราจะทำการปรับเปลี่ยนโดยเร็วที่สุด!

แบ่งปัน: