ที่ตั้งปัจจุบัน:หน้าแรก > {คอลัมน์ปัจจุบัน}

ลุ้นรายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจใหม่ของ IMF

  • สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยงอย่างรวดเร็ว หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง สะท้อนแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
  • ไฮไลท์สำคัญสัปดาห์นี้จะอยู่ที่ รายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เดือนกันยายนรวมถึง คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจใหม่ของ IMF (WEO October 2022)

  • เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้ ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต้องรอติดตามรายงานเงินเฟ้อ CPI อย่างใกล้ชิด รวมถึงความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยที่ยังหนุนการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ส่วนเงินบาทอาจผันผวน อ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้าน 37.80-37.90 บาทต่อดอลลาร์ได้ หากตลาดยังปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจเกิดพร้อมการย่อตัวลงของราคาทองคำ (correlation กับเงินบาทถึง 78%) ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังนักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอการขายสินทรัพย์ไทย ซึ่งพอจะช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ ในระยะสั้นนี้

    ลุ้นรายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจใหม่ของ IMF

  • มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้
    37.20-37.90
    บาท/ดอลลาร์

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

  • ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามอย่างใกล้ชิด คือ รายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เดือนกันยายน เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยของเฟด โดยตลาดมองว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน อาจเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.5% (คิดเป็นการเพิ่มขึ้นราว +0.5% จากเดือนก่อนหน้า) หนุนโดยค่าเช่าที่ยังคงเพิ่มขึ้นและการปรับตัวขึ้นของราคาในหมวดภาคการบริการ (Services-related) ตามโมเมนตัมการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ยังดีอยู่ หนุนโดยภาวะตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าเงินเฟ้อทั่วไป Headline CPI อาจชะลอลงสู่ระดับ 8.1% ตามการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยภาพดังกล่าวอาจยังคงสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยตาม Dot Plot ล่าสุดของเฟด อย่างไรก็ดี หากเงินเฟ้อเร่งขึ้นมากกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า เฟดอาจจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยจนสูงกว่า Terminal rate ที่มองไว้ ณ 4.75% เช่น 5.00% หรือ มากกว่านั้นได้ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้ตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้ ทั้งนี้ ควรต้องจับตา แนวโน้มคาดการณ์เงินเฟ้อระยะสั้นและระยะปานกลางจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ประกอบด้วย เพราะหากเงินเฟ้อคาดการณ์ โดยเฉพาะเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลาง 5 ปี ชะลอลงต่อเนื่อง (ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 2.7%) ก็อาจทำให้เฟดเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่า เฟดอาจคุมสถานการณ์เงินเฟ้อได้และความเสี่ยงที่จะเกิด Wage-Price spiral ก็อาจเริ่มลดลง นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเงินเฟ้อ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการใช้จ่ายของครัวเรือนสหรัฐฯ ผ่านยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกันยายน ที่คาดว่าจะยังคงขยายตัวราว +0.2% จากเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ เรามองว่า ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แย่กว่าคาด อาจช่วยพยุง sentiment ตลาดให้กลับมาเปิดรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือ Bad news is ลุ้นรายงานเงินเฟ้อCPIสหรัฐฯและคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจใหม่ของผู้ค้าแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในเอเชียที่โปร่งใสที่สุดGood news for the market ซึ่งอาจเห็นการรีบาวด์ของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ได้ ทั้งนี้ แม้ว่าตลาดจะให้ความสนใจกับรายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เรามองว่า สิ่งที่ควรจับตาและให้ความสนใจเช่นกัน คือ รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจ โดย IMF หรือ World Economic Outlook ซึ่งคาดว่า IMF อาจมีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจลงมากขึ้น และอาจชี้ว่าเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจฝั่งประเทศพัฒนาแล้วอาจเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) จากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางและแรงกดดันต่อค่าครองชีพในภาวะเงินเฟ้อสูง ซึ่งมุมมองเชิงลบดังกล่าวของ IMF อาจกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดการเงินได้ (Recession fears)

  • ฝั่งยุโรป – บรรดานักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์อาจยังคงมีมุมมองที่เป็นลบมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรป ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อสูง แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงความเสี่ยงวิกฤตพลังงานและสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงร้อนแรงอยู่ ซึ่งมุมมองดังกล่าวจะสะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) เดือนตุลาคม ที่ลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ -35 จุด

  • ฝั่งเอเชีย – ตลาดประเมินว่า ภาคการค้าระหว่างประเทศของจีนอาจยังคงเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ ยอดการส่งออก (Exports) เดือนกันยายน โตเพียง +4.8%y/y ชะลอลงจาก +7.1% ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ยอดการนำเข้า (Imports) อาจขยายตัวราว +1.0%y/y เร่งขึ้นจาก +0.3% ในเดือนก่อนหน้า หลังทางการจีนมีการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในบางพื้นที่อุตสาหกรรมและมีการเข้ามาช่วยเหลือแก้ไขสถานการณ์ขาดแคลนพลังงาน อนึ่ง หากความต้องการบริโภคในจีนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ตามการผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID อย่างที่ตลาดคาดหวัง ก็มีโอกาสที่จะเห็นยอดการนำเข้าของจีนเร่งตัวขึ้นได้ (อาจดีกับยอดการส่งออกของไทย/ประเทศคู่ค้าในฝั่งเอเชีย) ส่วนในฝั่งนโยบายการเงิน ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 3.50% เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ (ล่าสุดยังสูงกว่า 5.6%) และลดแรงกดดันต่อค่าเงิน KRW รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ไหลออกต่อเนื่อง

ความเสี่ยงที่ต้องจับตา: สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น

ในช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้น สร้างความเสียหายหนักต่อสะพานเชื่อมต่อระหว่างไครเมียกับดินแดนของรัสเซีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถของรัสเซียในการส่งกำลังบำรุงปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ทางตอนใต้ของยูเครนได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้แม้ว่าจะยังสรุปไม่ได้ว่า เหตุระเบิดดังกล่าวจะเกิดขึ้นจากฝีมือของฝ่ายไหนและเพื่อจุดประสงค์ใด แต่สิ่งที่ควรติดตามและระวังคือ ความร้อนแรงของสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากเหตุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นในวันเกิดของประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในการสนับสนุนการใช้งานสะพานดังกล่าว อีกทั้งสะพานดังกล่าวยังอยู่ภายใต้การก่อสร้างของบริษัทที่ใกล้ชิดกับผู้นำรัสเซีย

ตลาดการเงินอาจกลับมากังวลสถานการณ์สงครามที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นได้ ในกรณีที่ รัสเซียโจมตีเมืองสำคัญหรือฐานทัพของยูเครนด้วยขีปนาวุธความเร็วสูงหรืออาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง อย่าง Tactical Nuclear Weapons ซึ่งอาจตามมาด้วยการตอบโต้จากทางฝั่งนาโต้หรือสหรัฐฯ ทำให้สถานการณ์สงครามทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ตลาดการเงินอาจเลือกที่จะปิดรับความเสี่ยงและหันมาถือสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ซึ่งโดยปกติ War Shock ที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา มักจะหนุนให้เงินเยน (JPY) และบอนด์ระยะยาวปรับตัวขึ้น ทว่าในรอบนี้ ความเสี่ยงสงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะสินค้าพลังงานปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องได้ ทำให้ตลาดยังคงกังวลปัญหาเงินเฟ้อและการเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง โดยเฉพาะเฟด ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า เงินดอลลาร์อาจเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ตลาดเลือกที่จะถือในภาวะดังกล่าว อย่างไรก็ดี หากบอนด์ยีลด์ไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมาก (เพราะตลาดก็ยังคงกังวลภาพเศรษฐกิจถดถอยอยู่) ก็อาจทำให้ทองคำเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตลาดอยากเข้ามาถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี แม้มีความเสี่ยงที่รัสเซียจะตอบโต้ด้วยอาวุธที่มีพลังทำลายล้างสูง แต่เรายังไม่ได้กังวลกับภาพดังกล่าวมากนัก เนื่องจากการเคลื่อนย้ายอาวุธดังกล่าวมักถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากฝั่งตะวันตก ทำให้อาจมีการส่งสัญญาณเตือนภัยจากหน่วยข่าวกรองของฝั่งตะวันตกก่อนได้ (อย่างที่สหรัฐฯ เคยเตือนการบุกโจมตียูเครนโดยรัสเซีย) อีกทั้งรัสเซียยังมีทางเลือกอยู่หลายทางในการโจมตี ตอบโต้ฝั่งยูเครน โดยไม่ต้องใช้อาวุธทำลายล้างสูง

Weekahead carlendarWeekahead carlendar

คำสั่ง: เนื้อหาของบทความนี้ไม่ได้แสดงถึงมุมมองของเว็บไซต์ FTI เนื้อหามีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง เลือกอย่างระมัดระวัง! หากมีปัญหาใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ลิขสิทธิ์ ฯลฯ โปรดติดต่อเราและเราจะทำการปรับเปลี่ยนโดยเร็วที่สุด!

แบ่งปัน: