ที่ตั้งปัจจุบัน:หน้าแรก > {คอลัมน์ปัจจุบัน}

คาด SET Index ผันผวนในทิศทางลง

กระทรวงการคลังปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ปี 2565 ลงจาก 4% เหลือ 3.5% ถือเป็นการปรับลดลงไม่มากเมื่อเทียบกับสำนักวิจัยต่างๆ ที่ปรับลดลง มาช่วง 0.5 – 1% มาอยู่บริเวณ 3% อย่างไรก็ตามการยังเห็นปัจจัยเสี่ยงที่ กดดันประมาณการเช่น สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน,คาดSETIndexผันผวนในทิศทางลงวิธีการซื้อขายที่ง่ายที่สุดสำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางหลายประเทศ, ปัญหา Supply Shortage ในบางอุตสาหกรรม รวมถึงตลาดแรงงานที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่วนประเด็นในต่างประเทศมีกรณีที่ รัสเซีย ประกาศตัดการส่งก๊าซ ไปยัง 2 ประเทศ คือ โปแลนด์ และ บัลแกเลีย หลังจาก ที่ไม่ชำระค่าก๊าซเป็นเงิน รูเบิล ซึ่งน่าจะผลักดันราคาน้ำมันให้ปรับสูงขึ้น ส่วน การเคลื่อนไหวของ Fund Flow ยังเชื่อว่ามีทิศทางไปทางสินทรัพย์ปลอดภัย

คาด SET Index ผันผวนทิศทางลง กรอบ 1650 - 1670 จุด พอร์ตจำลอง ให้ ลดน้ำหนัก GPSC ลง 5% นำเงินเข้าซื้อ TFG คงถือเงินสด 10% Top Pick เลือก MCS, TFG และ VNG

คาด SET Index ผันผวนในทิศทางลง

คลังปรับลด GDP ปีนี้เหลือ 3.5% ทิศทางเดียวกันกับสำนักวิจัยอื่นๆ

สงครามยูเครน-รัสเซียที่ยืดเยื้อ และการคว่ำบาตรรัสเซียที่เกิดขึ้นในวงกว้างจากหลาย ประเทศ ถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ส่งผลทำให้เห็นภาพการปรับลด คาดการณ์GDP ของหลายสำนัก โดย วันที่ 18 เม.ย.2565 World Bank ได้ปรับลด GDP Growth ของเศรษฐกิจโลกลงจากเดิม 4.1% มาอยู่ที่ 3.2% และ ในวันที่ 19 เม.ย. 2565 IMF ก็ได้มีการปรับลดประมาณการลงเช่นกัน จาก 4.4% มาอยู่ที่ 3.6% ดังตาราง ด้านล่าง

ขณะที่ประเทศไทยก็เกิดปรากฎการณ์เรื่องการปรับลดคาดการณ์GDP Growth เช่นกัน โดยล่าสุดกระทรวงการคลังปรับลด GDP ปีนี้เหลือ 3.5% จากคาดการณ์เดิมที่ 4% ซึ่ง ถือว่าปรับลดไม่มากเมื่อเทียบเคียงกับสำนักวิจัยอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ปรับลดลงจากประมาณ การเดิม 0.5 – 1% ตัวเลขประมาณการสูงสุดหลังปรับคาดว่า GDP Growth ปี 2565 จะอยู่ที่ 3.3% และต่ำสุดอยู่ที่บริเวณ 2.5 – 2.7%เทียบกับประมาณการเดิม ซึ่งสูงสุดอยู่ ที่ 4% และต่ำสุด 2.5-3.2%

อย่างไรก็ตามยังมี Downside ต่อประมาณการเพิ่มเติมด้วยปัจจัยลบต่างๆ อาทิ

  1. ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังมีต่อเนื่อง

  2. สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจีนและไทย

  3. การส่งสัญญาณปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในหลายประเทศ

  4. การขาดแคลนอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์

  5. ตลาดแรงงานในประเทศยังไม่ฟื้นตัว

การยกเลิกตึงราคาพลังงาน กดดันต้นทุนเพิ่ม ปริมาณการขายลดลงได้

กระทรวงพลังงาน เห็นชอบให้ปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลเป็นแบบขั้นบันไดตามมติ ครม. จากเดิมไม่เกินลิตรละ 30 บาท เป็นไม่เกินลิตรละ 35 บาท ซึ่งส่วนเกินจาก 30 บาท กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะเข้าไปอุดหนุนครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งประชาชนจะจ่ายตาม จริง โดยตั้งแต่ 1 พ.ค. เห็นชอบขยับขึ้นเป็นลิตรละ 32 บาท และก่อนหน้านี้ที่ได้ประกาศ ปรับราคาขายปลีก LPG 3 ครั้ง โดยปรับขึ้นเดือนละ 1 บาท/ กิโลกรัม ตั้งแต่ 1 เมษายน .2565

ประเด็นดังกล่าวในมุมของสถานีขายปลีกน้ำมันยังคงได้รับอัตรากำไรไม่เปลี่ยนแปลงจาก เดิมมากนัก โดยค่าการตลาด (Marketing margin) อาจมีการปรับลดลงได้บ้างเล็กน้อย จากมาตรการขอความร่วมมือของทางภาครัฐเพื่อช่วยแหลือประชาชน แต่ยังอยู่ในกรอบ ที่ผู้ประกอบการกำหนดไว

อย่างไรก็ตามในแง่ของราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจส่งผลให้ปริมาณขายปรับตัวลดลง ได้บ้าง จากการที่ภาคประชาชนประหยัดเงินโดยการลดการใช้จ่ายลง จึงถือเป็น sentiment เชิงลบต่อผู้ประกอบการสถานีน้ำมัน และก๊าซ LPG อย่าง OR และ BCP

ส่วนก่อนหน้านี้ทาง กกพ.มีมติให้ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) เนื่องจากราคา ต้นทุนพลังงานได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยมีการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบ เดือน พ.ค.– ส.ค. 65 เพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ จากปัจจุบัน 1.39 สตางค์ มาอยู่ที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผล ให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.00 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 5.82% จากงวดปัจจุบัน ประเด็นดังกล่าวถือเป็น sentiment เชิงบวกโดยรวมต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่มีสัดส่วน การขายฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม อย่าง BGRIM (BUY:FV@45B) (สัดส่วนส่วน ขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมราว 23% ของรายได้ขายไฟฟ้าโดยรวม) และ GPSC (BUY:FV@86.5B) (สัดส่วนส่วนขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมราว 35% ของ รายได้ขายไฟฟ้าโดยรวม)

ซึ่งคาดจะเป็นส่วนช่วยชดเชยให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ปรับตัวดีขึ้นใน 2Q65 แต่ อย่างไรก็ตามในแง่ของประมาณการ การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าดังกล่าวยังถือว่าเป็นส่วนช่วย หนุนกำไรได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากการปรับขึ้นค่า ft เป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของราคา ต้นทุนเชื้อเพลิงพลังงาน และเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่าราคาต้นทุนที่สูงขึ้น

กสทช.กางโรดแมปดีล DTAC-TRUE

วานนี้ กสทช. ชุดใหม่จัดประชุมครั้งแรก โดยประเด็นหลักในการประชุม คือ เรื่องการควบ รวมกันระหว่าง บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) กับ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบแผนงาน (Roadmap) ดังนี้ 1) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ขึ้นมา 4 คณะ เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบ คือ ด้านกฏหมาย ด้านคุ้มครองผู้บริโภค และสิทธิพลเมือง ด้านเทคโนโลยี และด้านเศรษฐศาสตร์, 2) ให้จัดประชุม Focus group เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นจาก 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการ และ ผู้บริโภค/ประชาชนทั่วไป และ 3) มอบหมายให้คณะทำงานของ กสทช. และที่ปรึกษา อิสระ ศึกษาผลกระทบต่อสังคม

หลังจากที่ กสทช. ชุดเดิม (ชุดรักษาการ) ได้รับเรื่องจากทั้ง DTAC และ TRUE ไปแล้วตั้งแต่ กุมภาพันธ์ 2565 โดยตามกรอบเวลาแล้ว จะต้องแจ้งผลการพิจารณาภายใน พฤษภาคม 2565 นี้ แต่เชื่อว่า กสทช. ชุดใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งแทนชุดเดิมในช่วงกลางเดือน เมษายน 2565 ที่ผ่านมา อาจจะต้องใช้เวลาในการศึกษารายละเอียด และฟังความเห็นทั้ง จากคณะอนุกรรมการ และความเห็นจาก Focus group ก่อน ซึ่งอาจทำให้กรอบเวลาเดิม ยืดเยื้อออกไปบ้าง แต่คาดจะไม่เกิน 1 เดือน เนื่องจากตามหลักเกณฑ์สามารถขยายเวลาได้ ไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งละ 15 วัน ดังนั้นจึงเชื่อว่าน่าจะเห็นความชัดเจนในเรื่องนี้ไม่เกินปลาย มิถุนายน 2565 โดยคาดราคาหุ้นของทั้ง DTAC และ TRUE จะยังถูกกดดัน ในระหว่างที่ ยังไม่มีความชัดเจนจากทางการ อย่างไรก็ตามภายใต้หลักเกณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ฝ่ายวิจัย ยังให้น้ำหนักว่าการควบรวมน่าจะเกิดขึ้นได้ จึงประเมินเป็นโอกาสทยอยซื้อสะสมหุ้นทั้ง 2 บริษัท

เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง อาจกดดันให้ Fund Flow ชะลอ แนะนำ VNG MCS TFG

นักลงทุนกังวลกับการใช้นโยบายการเงินตึงตัวแบบ New Nomal ของ Fed ส่งผลให้ ตลาดหุ้นปรับฐานแรงในช่วงนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐยังผันผวนตามผลประกอบการงวด 1Q65 ที่ทยอยประกาศออกมา (ถ้าดีกว่าคาดก็หนุนหุ้นขึ้น แย่กว่าคาดกดดันหุ้นลง)

นอกจากนี้เม็ดเงินยังมีการไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง รวดเร็ว กดดัน Bond Yield 10 ปี สหรัฐ ชะลอการปรับขึ้น ลดลงจากจุดสูงสุด 2.98% ปัจจุบันอยู่ที่ 2.83% และหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาเร็ว ล่าสุด Dollar Index อยู่ ที่ 103 จุด (สูงสุดในรอบ 5 ปีครึ่ง)

ในมุมตลาดหุ้นไทย ประเด็นดังกล่าวกดดัน Fund Flow มีโอกาสชะลอการไหลเข้าได้ 2 ส่วนหลักๆ คือ

  1. ต่างชาติมีโอกาสลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงบางส่วน ทั้งเกิดจากการ ย้ายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยที่ผลตอบแทนเริ่มดีขึ้น และยังเป็นการ บริหารความเสี่ยงลดความผันผวนของพอร์ตหุ้นบางส่วนลง

  2. ค่าเงินบาทเดินหน้าอ่อนค่าต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 34.37 บาท/เหรียญ กดดันให้ นักลงทุนต่างชาติมีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น

ปัจจุบันเริ่มเห็นแรงซื้อต่างชาติชะลอลงบ้าง แม้วานนี้ต่างชาติจะสลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย 2.3 พันล้านบาท แต่ในตลาด TFEX เห็นการชอร์ตสุทธิ SET50 Future ปริมาณมากถึง 2.1 หมื่นสัญญา ความขัดแย้งของสัญญาณดังกล่าวกดดันให้ SET ปรับตัวขึ้นได้ยาก

สรุปคือ ทั้งนโยบายการเงินแบบ New Normal ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเร็ว มีส่วนที่จะ กดดันให้ Fund Flow ชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาถัดไปได้ กลยุทธ์การลงทุนยังคงเน้น Selective Buy ในหุ้นพื้นฐานดี มีปัจจัยขับเคลื่อน เฉพาะตัว อย่าง VNG (ผลประกอบการดี ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า), MCS (ราคา ปรับฐานลงมาจน Valuation เปิดกว้างน่าลงทุน), TFG ได้ประโยชน์จากราคา เนื้อสัตว์ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในงวด 2Q65)

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

คำสั่ง: เนื้อหาของบทความนี้ไม่ได้แสดงถึงมุมมองของเว็บไซต์ FTI เนื้อหามีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง เลือกอย่างระมัดระวัง! หากมีปัญหาใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ลิขสิทธิ์ ฯลฯ โปรดติดต่อเราและเราจะทำการปรับเปลี่ยนโดยเร็วที่สุด!

แบ่งปัน: